วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คำศัพท์อินเตอร์เน็ต

HTML
                HTML หรือ HyperText Markup Language เป็นภาษาคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง ที่มีโครงสร้างการเขียนโดยอาศัยตัวกำกับ (Tag) ควบคุมการแสดงผลข้อความ, รูปภาพ หรือวัตถุอื่นๆ ผ่านโปรแกรมเบราเซอร์ แต่ละ Tag อาจจะมีส่วนขยายที่เรียกว่า Attribute สำหรับระบุ หรือควบคุมการแสดงผล ของเว็บได้ด้วยHTML เป็นภาษาที่ถูกพัฒนาโดย World Wide Web Consortium (W3C) จากแม่แบบของภาษา SGML (Standard Generalized Markup Language) โดยตัดความสามารถบางส่วนออกไป เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจและเรียนรู้ได้ง่าย และด้วยประเด็นดังกล่าว ทำให้บริการ WWW เติบโตขยายตัวอย่างกว้างขวางตามไปด้วย Tag
                Tag เป็นลักษณะเฉพาะของภาษา HTML ใช้ในการระบุรูปแบบคำสั่ง หรือการลงรหัสคำสั่ง HTML ภายในเครื่องหมาย less-than bracket ( < ) และ greater-than bracket ( > ) โดยที่ Tag HTML แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือTag เดี่ยวเป็น Tag ที่ไม่ต้องมีการปิดรหัส เช่น <HR>, <BR> เป็นต้น              Tag เปิด/ปิด
                เป็น Tag ที่ประกอบด้วย Tag เปิด และ Tag ปิด โดย Tag ปิด จะมีเครื่องหมาย slash
( / ) นำหน้าคำสั่งใน Tag นั้นๆ เช่น <B>…</B>, <BLINK>…</BLINK> เป็นต้น
 โครงสร้างเอกสาร HTML
                ไฟล์เอกสาร HTML ประกอบด้วยส่วนประกอบสองส่วนคือ Head กับ Body โดยสามารถเปรียบเทียบได้ง่ายๆ ก็คือ ส่วน Head จะคล้ายกับส่วนที่เป็น Header ของหน้าเอกสารทั่วไป หรือบรรทัด Title ของหน้าต่างการทำงานในระบบ Windows สำหรับส่วน Body จะเป็นส่วนเนื้อหาของเอกสารนั้นๆ โดยทั้งสองส่วนจะอยู่ภายใน Tag <HTML>…</HTML>
โครงสร้างไฟล์ HTML
                ส่วนหัวเรื่องเอกสารเว็บ (Head Section)
        Head Section เป็นส่วนที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะของหน้าเว็บนั้นๆ เช่น ชื่อเรื่องของหน้าเว็บ (Title), ชื่อผู้จัดทำเว็บ (Author), คีย์เวิร์ดสำหรับการค้นหา (Keyword) โดยมี Tag สำคัญ คือ
<HEAD>
     <TITLE>ข้อความอธิบายชื่อเรื่องของเว็บ</TITLE>
     <META HTTP-EQUIV="Content-Type" CONTENT="text/html; charset=TIS-620">
     <META NAME="Author" CONTENT="ชื่อผู้พัฒนาเว็บ">
     <META NAME="KeyWords" CONTENT="ข้อความ 1, ข้อความ 2, …">
</HEAD>


                ข้อความที่ใช้เป็น TITLE ไม่ควรพิมพ์เกิน 64 ตัวอักษร, ไม่ต้องใส่ลักษณะพิเศษ เช่น ตัวหนา, เอียง หรือสี และควรใช้เฉพาะภาษาอังกฤษที่มีความหมายครอบคลุมถึงเนื้อหาของเอกสารเว็บ หรือมีลักษณะเป็นคำสำคัญในการค้นหา (Keyword)
การแสดงผลจาก Tag TITLE บนเบราเซอร์จะปรากฏข้อความที่กำกับด้วย Tag TITLE ในส่วนบนสุดของกรอบหน้าต่าง (ใน Title Bar ของ Window นั่นเอง)
Tag META จะไม่ปรากฏผลบนเบราเซอร์ แต่จะเป็นส่วนสำคัญ ในการทำคลังบัญชีเว็บ สำหรับผู้ให้บริการสืบค้นเว็บ (Search Engine) และค่าอื่นๆ ของการแปลความหมาย
การพิมพ์ชุดคำสั่ง HTML สามารถพิมพ์ได้ทั้งตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ หรือผสม การย่อหน้า เว้นบรรทัด หรือช่องว่าง สามารถกระทำได้อิสระ โปรแกรมเบราเซอร์จะไม่สนใจเกี่ยวกับระยะเว้นบรรทัดหรือย่อหน้า หรือช่องว่าง
                ส่วนเนื้อหาเอกสารเว็บ (Body Section)
                Body Section เป็นส่วนเนื้อหาหลักของหน้าเว็บ ซึ่งการแสดงผลจะต้องใช้ Tag จำนวนมาก ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูล เช่น ข้อความ, รูปภาพ, เสียง, วีดิโอ หรือไฟล์ต่างๆ
             ส่วนเนื้อหาเอกสารเว็บ เป็นส่วนการทำงานหลักของหน้าเว็บ ประกอบด้วย Tag มากมายตามลักษณะของข้อมูล ที่ต้องการนำเสนอ การป้อนคำสั่งในส่วนนี้ ไม่มีข้อจำกัดสามารถป้อนติดกัน หรือ 1 บรรทัดต่อ 1 คำสั่งก็ได้ แต่มักจะยึดรูปแบบที่อ่านง่าย คือ การทำย่อหน้าในชุดคำสั่งที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งนี้ให้ป้อนคำสั่งทั้งหมดภายใต้ Tag <BODY> … </BODY> และแบ่งกลุ่มคำสั่งได้ดังนี้
                - กลุ่มคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการพารากราฟ
                - กลุ่มคำสั่งจัดแต่ง/ควบคุมรูปแบบตัวอักษร
                - กลุ่มคำสั่งการทำเอกสารแบบรายการ (List)
                - กลุ่มคำสั่งเกี่ยวกับการทำลิงค์
                - กลุ่มคำสั่งจัดการรูปภาพ
                - กลุ่มคำสั่งจัดการตาราง (Table)
                - กลุ่มคำสั่งควบคุมเฟรม
                - กลุ่มคำสั่งอื่นๆ

เว็บเพจ (Web Page)
                เว็บเพจ คือ เอกสารที่ใช้ในการเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลแบบสื่อประสม เช่น ข้อความ,ภาพ,ภาพเคลื่อนไหว,เสียง เป็นต้น โดยการนำเสนอผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
ประโยชน์ของเว็บเพจ
                ปัจจุบันเป็นยุคของข้อมูลข่าวสารที่เรามักได้ยินคำว่ายุค IT หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศ มีการพัฒนาระบบสื่อสารทำให้ สารสนเทศ ต่าง ๆ ส่งผ่านถึงกันได้สะดวกขึ้น มีการนำระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและ การสื่อสาร  Information and Communication Technology  (ICT )   เข้ามาใช้ในชีวิต ประจำวันมากขึ้น เว็บเพจ สามารถเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
                 1.ข้อมูลทางการศึกษา เช่น ความรู้ทางวิชาการต่าง ๆ
              2.ประชาสัมพันธ์บริษัทและองค์กรต่างๆ
              3.ความบันเทิง
              4.ข่าวเหตุการณ์ปัจจุบัน
              5.การซื้อ-ขายสินค้า และบริการต่าง ๆ
              6.การดาวน์โหลดข้อมูล
              7.บริการติดต่อสื่อสาร เช่น การรับส่ง E-mail
              8.บริการอื่น ๆ   

โฮมเพจ (Homepage)
                โฮมเพจ คือ หน้าแรกของเว็บไซต์ เปรียบเสมือนหน้าบ้านของเรานั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น หากท่านเข้าเว็บไซต์ด้วยชื่อ www.faodoo.com ท่านก็จะเห็นหน้าแรก หรือ โฮมเพจ ทันที ซึ่งจะประกอบไปด้วยรายละเอียดโดยรวมเกี่ยวกับเว็บไซต์นั้นๆ และไฟล์ที่ใช้แสดงหน้าโฮมเพจ โดยปกติจะตั้งชื่อเป็น index.html
เวิลด์ไวด์เว็บ (world wide web-WWW)
                World Wide Web หรือที่เรามักเรียกสั้นๆว่า Web หรือ W3 (WWW) เป็นการสืบค้นสารสนเทศที่อยู่ในอินเตอร์เน็ตในระบบสื่อหลายมิติ โดยคลิกที่ที่จุดเชื่อมโยง เพื่อเสนอเว็บเพจหรือข้อมูลสารสนเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สารสนเทศที่เสนอจะมีทุกรูปแบบทั้งในลักษณะของตัวอักษร ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง นอกจากนี้เวิลด์ไวด์เว็บยังรวมการใช้งานด้านอื่นๆ    เข้าไว้ด้วยกัน เช่นไปรษณีย์อีเล็กทรอนิกส์ การถ่ายโอนแฟ้ม การพูดคุยสด การค้นหาไฟล์เอกสาร ฯลฯ การเข้าสู่เวิลด์ไวด์เว็บจะต้องใช้โปรแกรมทำงาน ซึ่งโปรแกรมที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ได้แก่ Internet Explorer, Netscape Navigator โปรแกรมเหล่านี้ช่วยให้การใช้เวิลด์ไวด์เว็บบนอินเตอร์เน็ตเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น    
              Web เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นในอินเตอร์เน็ตและเป็นรูปแบบเพื่อให้ ผู้ใช้แบ่งปันและส่งผ่านสารสนเทศระหว่างกันโดยใช้เกณฑ์ที่เรียกว่า HTML (Hypertext Transport Protocol) ซึ่งเป็นภาษาหนึ่งของหลายๆภาษาที่ใช้กันบนอินเทอร์เน็ต และ Web เป็นเทคโนโลยีที่สามารถส่งผ่านได้ทั้งบนโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว เช่น ระบบเครือข่ายโทรคมนาคมแบบแอนะล็อก หรือระบบเครือข่ายความเร็วสูงระบบดิจิทัลก็ได้เช่นกัน ทำให้  Web เป็นการใช้เทคโนโลยีแบบยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม  
               การเริ่มต้นของ World Wide Web ในระยะแรกๆอินเตอร์เน็ตประกอบด้วยเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในมหาวิทยาลัยของรัฐบาลเพียงไม่กี่แห่ง และทศวรรษ1980 สถาบันต่างๆก็ได้เห็นความสำคัญของอินเตอร์เน็ตจึงได้เริ่มมีการพัฒนาระบบอินเตอร์เน็ตเกิดขึ้น จน พ.ศ.2532 ดร.ทิม เบอรส์-ลี แห่งห้องปฏิบัติการทดลองแห่งยุโรปสำหรับฟิสิกส์อนุภาค(เซิร์น) ได้สร้างโปรแกรม เอ็นไควร์เพื่อเป็นประตูในการเชื่อมโยงเอกสารต่างๆ ในองค์กรของเขา และในปีต่อมา 2532  ดร.ทิม เบอรส์-ลี และทีมงานได้พัฒนาโครงการ World Wide Web ขึ้น พร้อมกับตั้งเว็บไซด์แห่งแรกใน พ.ศ.2534 โดยเว็ปไซด์นี้มีแต่ข้อมูลตัวอักษร และมีการพัฒนาที่ค้อนข้างช้า จนพ.ศ.2536 มีคนคิดค้นโปรแกรม Mosaic ซึ่งเป็นโปรแกรมดูเว็บในลักษณะกราฟิกขึ้น จึงทำให้ World Wide Web เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นครับ
ข้อดี-ข้อด้อยของ World Wide Web
                ข้อดี
                1.ทำให้การสืบค้นข้อมูลต่างๆเกิดความเพลิดเพลินมากขึ้นเพราะมีสื่อหลายมิติ
                2.ทำให้ได้รับข้อมูลในการค้นคว้าเป็นไปอย่างขว้างขวางทั่วถึง
                3.เกิดความสะดวกสบายในการค้นหาข้อมูลและเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้อย่างสะดวก
                4.เกิดอิสระในการค้นหาข้อมูลต่างๆตามความสนใจของตนเอง
                5.ทำให้ได้รับข้อมูลต่างๆอย่างหลากหลาย เป็นต้น
                ข้อด้อย
                1.เนื่องจากทุกคนสามารถสร้างเว็บของต้นเองได้จึงทำให้เกิดเว็บต่างๆขึ้นมากมายทำให้เกิดเว็บที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์เกิดขึ้น
                2.เว็บบางเว็บอาจไม่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชน จึงอาจเกิดการหมิ่นต่อศิลธรรมได้
                3.ข้อมูลสารสนเทศในเว็บในบางครั้งอาจไม้ถูกต้องและเชื่อถือไม่ได้ ต้องใช้วิจารณญาณ
                4.เว็บไซด์ในปัจจุบันยังขาดระเบียบในการจัดการจึงทำให้เกิดความไม่เป็นระเบียบในการเรียกใช้ เป็น

เว็บเบราว์เซอร์ (web browser)
                เว็บเบราว์เซอร์ (web browser) เบราว์เซอร์ หรือ โปรแกรมดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (html) ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
ประโยชน์ของ Web Browser
                สามารถดูเอกสารภายในเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้ อย่างสวยงามมีการแสดงข้อมูลในรูปของ ข้อความ ภาพ และระบบมัลติมีเดียต่างๆ ทำให้การดูเอกสารบนเว็บมีความน่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นในปัจจุบัน ปัจจุบัน web browser ส่วนใหญ่จะรองรับ html 5 และ อ่าน css เพื่อความสวยงามของหน้า web page
                รายชื่อเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
                - Internet Explorer
                - Mozilla Firefox
                - Google Chrome
                - Safari

URL
                URL คือตำแหน่งของไฟล์บนเว็บ ตัวอย่างของ URL ได้แก่ http://www.blogger.com/ หรือ http://myblog.blogspot.com/ URL ที่คุณเลือกจะถูกใช้งานโดยผู้เข้าชมหรือตัวคุณเอง ในการเข้าถึงบล็อกของคุณ ในกระบวนการสร้างบล็อก คุณจะได้รับแจ้งให้เลือก URL สำหรับบล็อกของคุณ ถ้าคุณต้องการใช้บริการพื้นที่บน Blog*Spot เนื่องจากมีบล็อกอยู่ใน Blog*Spot เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว คุณจะต้องใช้ความสร้างสรรค์และลองใช้ค่าอื่นๆ ก่อนที่จะพบค่าที่ใช้ได้ สิ่งหนึ่งที่ต้องทราบเมื่อเลือก URL ของบล็อกก็คือ เครื่องหมายยัติภังค์ (ไฮเฟน หรือเครื่องหมายขีดกลาง) เป็นอักขระที่ไม่ใช่ตัวเลขและตัวอักษรที่ใช้ได้เพียงตัวเดียว คุณไม่สามารถใช้ช่องว่างหรือเครื่องหมายขีดล่าง (_) หรืออักขระพิเศษอื่นๆ
                The Uniform Resource Locators (URL) เป็นเสมือนที่อยู่ของเอกสารบนเว็บ ทุกๆ เอกสารจะต้องมี URL เป็นของตัวเอง แต่ละส่วนของ URL เป็นสิ่งที่ใช้ระบบข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของเอกสาร ตัวอย่างเช่น
                - http://www.xvlnw.com
                - http://www.xvlnw.com/index.php?name=download
                แต่ละ URL ประกอบไปด้วยส่วนพื้นฐาน 3 ส่วน คือ Protocol, Server Machine และ File
Protocol ที่นิยมใช้ เช่น http:// , ftp:// , gopher:// , news://
Server machine อาจเป็นชื่อเครื่อง หรือ เลข IP ก็ได้ หรือบางครั้งอาจมีเครื่องหมาย  : (Colon) ตามด้วยหมายเลข อยู่ต่อจาก Server machine เช่น proxy.chiangmai.ac.th:8080 เป็นต้น ซึ่งตัวเลขนั้นหมายถึง Port ที่ใช้ในการับส่งข้อมูลสำหรับ Web Server โดยปกติแล้ว  Port มาตรฐานของ Web Servers คือ 80 ซึ่งจะระบุหรือไม่ก็ได้ File หากไม่มีการระบุชื่อไฟล์แล้ว Web Server จะมองหาไฟล์ที่ชื่อ index.html แล้วส่งไปให้ Web browser โดยอัตโนมัติ (หรือชื่ออื่นๆ ตามการกำหนดเงื่อนไขของแต่ละ  Web Server)
               
โปรโตคอล (Protocol)
                ระเบียบพิธีการในการติดต่อสื่อสาร เมื่อมาใช้กับเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม จึงหมายถึงขั้นตอนการติดต่อสื่อสาร ซึ่งรวมถึง กฎ ระเบียบ และข้อกำหนดต่าง ๆ รวมถึงมาตรฐานที่ใช้ เพื่อให้ตัวรับและตัวส่งสามารถดำเนินกิจกรรมทางด้านสื่อสารได้สำเร็จ
                การทำงานของระดับโปรโตคอลใน LAN
                ระบบ LAN ที่นิยมและแพร่หลายในปัจจุบัน ได้แก่ Ethernet, Token Ring และ FDDI โปรโตคอลที่ใช้ประกอบเป็น LAN ตามมาตรฐานข้อกำหนด จึงจัดอยู่ในระดับโปรโตคอลระดับ 1 และ 2 เท่านั้น
                อีเทอร์เน็ต (Ethernet) เป็น LAN ที่มีผู้นิยมใช้กันมาก อีเทอร์เน็ตมีโปรโตคอลในระดับชั้นฟิสิคัล (Physical) ได้หลายรูปแบบ ตามสภาพความเร็วของการรับส่งข้อมูล รูปแบบสัญญาณและตัวกลางที่ใช้รับส่ง การกำหนดชื่อของ LAN แบบนี้ใช้วิธีการกำหนดเป็น XXBASEY เมื่อ XX คือความเร็ว BASE คือวิธีการส่งสัญญาณเป็นแบบ Digital Baseband ส่วน Y คือตัวกลางที่ใช้ส่งสัญญาณ เช่น 10BASE2 หมายถึงส่งความเร็ว 10 เมกะบิต แบบ Thin Ethernet ตัวกลางเป็นสายโคแอกเชียล 10BASE-T หมายถึงส่งความเร็ว 10 เมกะบิต แบบสาย UTP และถ้า 10BASE-FL ก็จะเป็นการใข้สายเส้นใยแก้วนำแสง
                สัญญาณทางไฟฟ้าของอีเทอร์เน็ตเป็นแบบดิจิตอล จึงทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องระยะทางที่ใช้ระเบียบข้อกำหนดเหล่านี้จึงอยู่ในกลุ่มโปรโตคอลระดับฟิสิคัล ส่วนในระดับโปรโตคอลดาต้าลิงค์เป็นวิธีการกำหนดแอดเดรสระหว่างกันในเครือข่าย ซึ่งแต่ละสถานีจะมีแอดเดรสเป็นตัวเลขขนาด 48 บิต การรับส่งเป็นการสร้างข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเรียกว่า "เฟรม" การส่งข้อมูลมีวิธีการใส่ข้อมูลแอดเดรสต้นทางและปลายทางและส่งกระจายออกไป ผู้รับจะตรวจสอบแอดเดรสของเฟรมถ้าตรงกับแอดเดรสตนก็จะรับข้อมูลเข้ามา

Hyperlink
                การเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink) ซึ่งมักเรียกกันย่อๆ ว่า "ลิงค์" หมายถึงจุดเชื่อมโยงบนหน้าเว็บเพจ ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นข้อความ ปุ่มกดหรือรูปภาพ ที่สามารถคลิกเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงโดยจะส่งให้ผู้ใช้ไปสู่เว็บเพจหน้าอื่น ไปที่ทรัพยากรอื่น รวมทั้งไปยังโปรแกรมที่มีการทำงานในเว็บเพจเหล่านั้น
ส่วนวิธีการนั้นมีขั้นตอน ดังนี้
1. คลิกที่ปุ่ม Hyperlink   ที่แท็บ Common จะปรากฏหน้าต่าง Hyperlink ขึ้นมา
2. กำหนดค่าคุณสมบัติของ Hyperlink
                Text       พิมพ์ข้อความที่ต้องเชื่อมโยง
                Link       กำหนดไฟล์ หรือเว็บที่เชื่อมโยง
                Target    กำหนดการปรากฏของข้อมูล
                 _blank เปิดหน้าต่างเบราเซอร์ว่างเปล่าขึ้นมา
                 _parent เปิดหน้าต่างเบราเซอร์และกลับไปหน้าต่างปัจจุบัน
                _self      เปิดหน้าต่างเบราเซอร์ที่มีการตกลงขึ้นมา
                 _top     เปิดหน้าต่างเบราเซอร์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ทั้งหมด
                Tab Index  พิมพ์ป้อนจำนวนแท็บ
                Titel   พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้ปรากฏเมื่อนำเมาส์ไปชี้
                Access Key    พิมพ์แป้นคีย์บอร์ดที่ใช้ในการเชื่อมโยง

IP Address
                IP Address คือหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด?ตัวอย่าง IP Address 192.168.0.1? เป็นต้น
                การสื่อสารและรับส่งข้อมูลในระบบ Internet สิ่งสำคัญคือที่อยู่ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความถูกต้องแม่นยำ จึ่ง ได้มีการกำหนดหมายเลขประจำเครื่องที่เราเรียกว่า IP Address และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและซ้ำกัน จึงได้มีการก่อตั้งองค์กรเพื่อ แจกจ่าย IP Address โดยเฉพาะ ชื่อองค์กรว่า InterNIC (International Network Information Center) อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา การแจกจ่ายนั้นทาง InterNIC จะแจกจ่ายเฉพาะ Network Address ให้แต่ละเครือข่าย ส่วนลูกข่ายของเครือง ทางเครือข่ายนั้นก็จะเป็น ผู้แจกจ่ายอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นพอสรุปได้ว่า IP Address จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน คือ
                - Network Address?
                - Computer Address
การแบ่งขนาดของเครือข่าย
                เราสามารถแบ่งขนาดของการแจกจ่าย Network Address ได้ 3 ขนาดคือ
                Class A nnn.ccc.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 1-126)
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากที่สุดถึง 16 ล้านหมายเลข
                Class B nnn.nnn.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 128-191)
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากเป็นอันดับสอง คือ 65,000 หมายเลข
                Class c nnn.nnn.nnn.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 192-233)
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้น้อยที่สุด คือ 256 หมายเลข

Domain Name
               Domain Name คือชื่อที่ใช้ในการอ้างอิงเพื่อไปยัง Website ต่างๆ ที่อยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตชื่อที่ใช้ต้องเป็นชื่อที่ไม่มีใครในโลกใช้เพราะถ้ามีคนใช้ชื่อใดแล้วเราจะไปจดชื่อซ้ำไม่ได้ ชื่อ Domain Name จะเป็นตัวอักษรพิมพ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็ก ไม่แตกต่างกันเพราะ ระบบอินเตอร์เน็ตจะรับรู้ตัวอักษรเป็นตัวเล็กทั้งหมด เช่น ITTradefair.com และ ittradefair.com ถือว่าเป็นชื่อเดียวกัน ส่วนประกอบใหญ่ๆ สามส่วนคือ ชื่อเครื่อง. เช่น DomainAtCost.com ,ThaiCompany.net ฯลฯ ในปัจจุบันได้มีการจดชื่อโดเมนถึงกว่า 30 ล้านชื่อทั่วโลกและ ชื่อโดเมนก็มักจะถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายการค้าของ Website ต่างๆ ด้วยโดยชื่อโดเมนจะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ
                 ส่วนของชื่อ ซึ่งอาจเป็นชื่อของบุคคล นิติบุคคล องค์กร เครื่องหมายการค้า หรืออื่นๆ ที่ต้องการจะสื่อให้เป็นตัวแทนของ Website นั้นๆ เช่น DomainAtCost, ThaiCompany ฯลฯ
                ลักษณะการประกอบการของ Website นั้นๆ เช่น .com, .net ฯลฯ (คล้ายๆ กับคำแสดงนิติฐานะของนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด กระทรวง สมาคม องค์การ ฯลฯ กรุณาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในข้อ 3)
                เนื่องจากชื่อโดเมนจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการชี้ไปยัง Website ดังนั้นจึงไม่สามารถตั้งชื่อซ้ำกันได้ (ThaiCompany.net และ ThaiCompany.com ถือว่าเป็นคนละชื่อกัน เนื่องจากจดอยู่ภายใต้ลักษณะการประกอบการที่ต่างกัน แม้ว่าในทางปฏิบัติอาจประกอบการในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายหรือข้อบังคับใดๆ ควบคุม)
Domain Name ทำงานอย่างไร
    ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จะใช้กลุ่มตัวเลข 4 กลุ่มที่คั่นด้วยจุด (ตัวเลขในแต่ละกลุ่มจะมีค่าได้ตั้งแต่ 0-255) เช่น 203.33.192.255 หรือที่รู้จักกันในชื่อของ IP Address ในการระบุตำแหน่งของ Website ต่างๆ เพื่อให้รู้ว่าอยู่บนเครื่องใดและอยู่ในเครือข่ายใด แต่เนื่องจาก IP Address อยู่ในรูปของตัวเลขซึ่งยากแก่การจดจำดังนั้นจึงเป็นการสะดวกกว่าที่จะใช้ชื่อหรือกลุ่มของตัวอักษร ซึ่งก็คือ Domain Name ในการอ้างอิงแทน โดยจะอาศัย DNS Server มาช่วยจับคู่ IP Address และ Domain name เข้าด้วยกัน ดังนั้นเมื่อมีผู้ต้องการที่จะเรียกดู Website ของท่าน ไม่ว่าจะทราบ IP Address หรือ Domain name เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ผิดพลาด

 แบนด์วิดท์ (Bandwidth)
                Bandwidth (แบนด์วิดท์) คือ คำที่ใช้วัดความเร็วในการส่งข้อมูลของอินเทอร์เน็ต ซึ่งโดยมากเรามักวัดความเร็วของการส่งข้อมูลเป็น bps (bit per second) , Mbp (bps*1000000) เช่น Bandwidth ของการใช้สายโทรศัพท์ในประเทศไทย เท่ากับ 14.4 Kbps,Bandwidth ของสายส่งข้อมูลของ KSC ที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับอเมริกาเท่ากับ 2 Mbps เป็นต้น
              แต่ก่อนที่เราจะเข้าสู่บทความมารู้จักก่อนว่าอะไรคือ Bandwidth และ Latency ความหมาย Bandwidth คือ ความกว้างของช่องทางในการรับ-ส่งข้อมูล ส่วน Latency คือ เวลาที่ใช้ไปในการเข้าถึงข้อมูลของหน่วยความจำ เมื่อเรารู้ความหมายกันแล้วคราวนี้เรามารู้จักถึงหลักการต่างๆ ของ Bandwidth และ Latency
             ในการพิจารณาการรับ-ส่งข้อมูลบนระบบบัสหลายคนมักจะนึกถึง Bus Bandwidth (Bandwidth ก็คือความกว้างของเส้นทางในการส่งข้อมูล ที่เราสามารถเปรียบเทียบได้กับเลนถนน ยิ่งมีเลนกว้างเท่าไรรถยนต์ซึ่งเปรียบได้กับข้อมูลก็สามารถวิ่งได้สะดวกมาก ขึ้นเท่านั้น) ที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูล ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลที่รับ-ส่งบนระบบบัส Bus Bandwidth ด้วยปริมาณจำนวนข้อมูลของเลข single number (0 หรือ 1) ที่ระบบบัสสามารถรองรับได้ แต่ปริมาณข้อมูลของเลข single number อาจแปรผันได้ตามเวลา เราจึงพิจารณาการรับ-ส่งข้อมูลผ่านทาง Bus Bandwidth ด้วย Peak bandwidth Bus หรือ ความกว้างสูงสุดในการรับ-ส่งข้อมูลของบัส ซึ่งวัดด้วยจำนวนข้อมูลสูงสุดที่ รับ-ส่งกันระหว่างซีพียูและแรมภายในหนึ่งคาบเวล
              จากความเร็วสัญญาณนาฬิการะหว่างหน่วยความจำและซีพียูจากรูปที่ 1 ถ้าเรามาคำนวณหา Bandwidth ของบัสที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิการะหว่างหน่วยความจำและซีพียู ที่สัญญาณนาฬิกา 100 เมกะเฮิรตซ์ โดยที่มีการรับ-ส่งข้อมูลจำนวน 8 ไบต์ในแต่ละหนึ่งรอบของสัญญาณนาฬิกา จะคำนวณออกมาได้ดังนี้
              8 bytes * 100MHz = 800 MB/s
               และถ้าหากเราคำนวณหา Bandwidth ของบัสที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิการะหว่างหน่วยความจำและซีพียูที่ 133 เมกะเฮิรตซ์ โดยที่มีการรับ-ส่งข้อมูลจำนวน 8 ไบต์ในแต่ละหนึ่งรอบสัญญาณนาฬิกา จะคำนวณออกมาได้ดังนี้
              8 bytes * 133MHz = 1064 MB/s
              ซึ่งตัวเลข Bandwidth ที่ได้นี้เป็นพียงตัวเลขทางทฤษฎีที่บอกถึงปริมาณของข้อมูลที่เข้าสู่ซีพียู ในแต่ละวินาที ในความเป็นจริง Bandwidth ของระบบจริงอาจมีค่าน้อยกว่าที่คำนวณเพียงเล็กน้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น